สืบก่อนจอง MULBERRY GROVE Sukhumvit

MULBERRY GROVE Sukhumvit
มัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท

หลังจากเปิดตัวโครงการ “MULBERRY GROVE Sukhumvit” ไปเมื่อไตรมาสที่ 3 เมื่อปีที่แล้วนั้น จากกระแสตอบรับที่ดีทำให้โครงการ “MULBERRY GROVE Sukhumvit” เป็นอีกหนึ่งโครงการใหม่ในทำเลสุขุมวิทที่กำลังได้รับความสนใจจากทั้งกลุ่มของคนไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งอย่างที่รู้กันครับว่าแบรนด์ MULBERRY GROVE นั้นเป็นแบรนด์หรูระดับ Super – Luxury แม้ว่าราคาจะสูงตามมาด้วย แต่เมื่อมองกลับไปยังสิ่งที่โครงการให้มาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเปก หรือฟังก์ชันต่างๆ รวมไปถึงศักยภาพของทำเล ทำให้หลายคนลืมเรื่องราคาไปได้อย่างแน่นอน หลังจากผมไปสืบโครงการนี้มา โครงการนี้มีหลายอย่างมากครับที่น่าสนใจ แต่ก่อนผมจะพาทุกคนไปดูก่อนเลยครับว่าทำเลนี้มีศักยภาพด้านไหนบ้าง…

ทำเลศักยภาพ ติดถนนสุขุมวิท 250 ม. จาก BTS เอกมัย 

โครงการ “MULBERRY GROVE Sukhumvit” ปักหมุดโครงการอยู่บนถนนสุขุมวิท ซึ่งอย่างที่หลายคนทราบกันว่าทำเลนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันนี้ทำเลสุขุมวิทยังเป็นทำเลที่มีอัตราการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดูจากการผุดขึ้นใหม่ของหลายๆ Project ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้แล้วทำเลสุขุมวิทก็ยังเป็นทำเลที่หลายคนเลือกให้เป็นทำเลของที่อยู่อาศัย เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์กลางของการดำเนินชีวิต ใกล้แหล่ง Office Buliding และแหล่งอำนวยความสะดวกหลายแห่งที่ถือว่าตอบโจทย์ทุก Intergeneration ไม่ว่าจะเป็นสถานพยาบาล สถานศึกษา หรือห้างสรรพสินค้าชั้นนำ นอกจากนี้การเดินทางยังเชื่อมต่อถึงกันทั้งรถไฟฟ้าและทางด่วน ถือเป็นอีกจุดที่เอื้อความสะดวกให้แก่คนในย่านเป็นอย่างมากครับ

ทำไม? พื้นที่แนวรถไฟฟ้า BTS เอกมัย จึงน่าสนใจ

สำหรับโครงการ “MULBERRY GROVE Sukhumvit” จะอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้า BTS สถานีเอกมัยและยังอยู่ติดกับถนนสุขุมวิท ซึ่งทำเลนี้ถือว่าน่าสนใจ เพราะเดินทางสะดวก เอื้อทั้งคนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวและคนที่ใช้บริการขนส่งสาธารณะ ซึ่งอย่างตัว BTS สถานีเอกมัยนั้นถือว่าเป็นจุดที่เชื่อมต่อการเดินทางของย่านนี้ไปสู่ย่านอื่นได้อย่างสะดวก และถัดไปอีกหน่อย ในอนาคตบริเวณสถานีทองหล่อก็จะมีรถไฟฟ้าสายสีเทาเกิดขึ้นจาก BTS สถานีเอกมัยเพียงสถานีเดียวเท่านั้น โดยสถานีนี้สามารถ  Interchange กับสายสีเทาที่สถานีทองหล่อ และยังทำให้เรามีตัวเลือกในการเดินทางที่มากกว่าเดิม

และอีกจุดเด่นก็คือเรื่องของแหล่งอำนวยความสะดวกที่ถือว่าตอบโจทย์ทุก Intergeneration ครับ ซึ่งตัวโครงการนั้นอยู่ในย่านที่รายล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายแห่ง แต่ที่ใกล้โครงการที่สุดก็คือ Gateway Ekkamai ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปไม่ไกลนัก และยังมีสถานศึกษาชั้นนำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโครงการเลยก็คือ St Andrews International School นอกจากนี้ก็ยังมีสถานพยาบาลชั้นนำอีกมากมาย ซึ่งที่ที่ใกล้โครงการที่สุดก็คือ Sukumvit Hospital นั่นเองครับ ซึ่งผมว่าแหล่งอำนวยความสะดวกที่รายล้อมอยู่ในทำเลนี้ค่อนข้างตอบโจทย์กลุ่มคนหลากหลายช่วงวัยและรองรับกลุ่มคนหลากหลายไลฟ์สไตล์มาก ซึ่งผมได้สรุปจุดเด่นของโครงการ MULBERRY GROVE Sukhumvit มาไว้แล้ว เราลองไปดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง

จุดเด่นทำเล 

◼️ เดินทางสะดวก เพราะใกล้ BTS เอกมัย, ติดถนนสุขุมวิท ใกล้ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษเฉลิมมหานคร
◼️ ใกล้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง Gateway Ekkamai,  Major Cineplex Sukhumvit, Park Lane Ekkamai, Donki Mall Thonglor และ Market Place Thonglor
◼️ ใกล้สถานศึกษาชั้นนำอย่าง St Andrews International School, Kids’ Academy International School,  Kindergarten และ Ekkamai International School
◼️ ใกล้สถานพยาบาลชั้นนำอย่าง Sukumvit Hospital, Kluaynamthai Hospital, Camillian Hospital และ Samitivej Hospital

“MULBERRY GROVE” Super – Luxury Residence แห่งใหม่จาก MQDC

สำหรับแบรนด์ “MULBERRY GROVE” ซึ่งเป็นแบรด์ Super – Luxury Residence ใหม่ของทาง MQDC นั้น หลายคนเริ่มได้ยินและเห็นแบรนด์นี้มาก่อนหน้าแล้ว เพราะทาง MQDC ได้มีการเปิดตัวแบรนด์นี้ด้วยกัน 3 โครงการในรูปแบบของที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ Low Rise ซึ่งล่าสุดที่มีการเปิดตัวก็คือโครงการ MULBERRY GROVE ในรูปแบบของคอนโด High Rise ที่ตั้งอยู่บนทำเลสุขุมวิทนั่นเองครับ 

สำหรับโครงการ “MULBERRY GROVE Sukhumvit” นั้น ทาง MQDC ได้โชว์จุดเด่นออกมาด้วยกัน 4 ด้าน คือ…

Designed for Intergenerational Harmony 

ที่อยู่อาศัยที่ออกแบบเพื่อการอยู่อาศัยแบบครอบครัว สนับสนุนให้เกิดการใช้เวลาร่วมกัน โดยคิดผ่านการกระบวนการออกแบบจริง ร่วมกับครอบครัวและนำนวัตกรรมต่างๆ มาสร้างที่อยู่อาศัย พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการที่จะตอบสนองความต้องการของสมาชิกในครอบครัวทุกช่วงวัย

Caring Community

ออกแบบพื้นที่ให้ทุกคนในครอบครัวและชุมชนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้คนในครอบครัวที่ต่างช่วงอายุได้พัฒนาความคิดและจิตใจ ทั้งยังได้แลกเปลี่ยนความคิดอันจะก่อให้เกิดไอเดียการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ รวมถึงได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

Value Creation Neighborhood 

เป็นการเชื่อมโยงวัฒนธรรมการอยู่อาศัยของไทยในอดีตที่อยู่กันแบบครอบครัวใหญ่กับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) และการขยายของสังคมเมือง (Urbanization) ผ่านการออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์ครอบครัวหลายช่วงวัย

5 Dimensional Well – Being 

ส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของครอบครัวให้ดีขึ้นในทุกมิติ นำไปสู่ความสุขอย่างยั่งยืน ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยี สนุนความสัมพันธ์ของสังคมกับธรรมชาติ โดยใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัย เลือกใช้วัสดุที่ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทั้งต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม มีการออกแบบให้เหมาะสมกับทุกคนและทุกช่วงวัย (Universal Design)

“MULBERRY GROVE Sukhumvit” โครงการแรกที่ออกแบบเพื่อการใช้ชีวิตแบบ “Intergeneration” อย่างแท้จริง

แบรนด์ “MULBERRY GROVE” ถือเป็นแบรนด์ High ระดับ Super – Luxury แต่ความน่าสนใจของแบรนด์นี้ไม่ใช่แค่ความหรูหราเท่านั้นครับ แต่สิ่งที่ผมว่าน่าสนใจก็คือ Concept ในการออกแบบอย่าง “Design for the finest Intergeneration living คอนโดมิเนียมที่ออกเเบบเพื่อทุก Generation” ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของกลุ่มครอบครัว ถือเป็นครั้งแรกของโครงการที่อยู่อาศัยที่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้ชีวิตแบบ “Intergeneration” อย่างแท้จริง โดยโครงการนี้ถูกพัฒนาจากการต่อยอดจากแนวคิด “For All Well – Being” ของ MQDC เพื่อให้ตอบโจทย์ชีวิตครอบครัวอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นการเน้นเรื่องของความสัมพันธ์และการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกหลายช่วงวัยนั่นเองครับ

และ Concept ใหม่ของโครงการ “MULBERRY GROVE Sukhumvit” นั้น เป็นการเน้นให้ครอบครัวเกิดการใช้ช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันในทุกเจเนอเรชัน ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงผู้สูงอายุ ผ่านการออกแบบตัวโครงการทั้งในส่วนของส่วนกลางและที่พักอาศัย ที่มีเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงบริการเสริมต่างๆ ที่ทางโครงการคัดสรรมาให้ตามคำกล่าวที่ว่า “Design for the finest Intergeneration living” ดังนั้น MQDC จึงให้ความสำคัญกับการสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อครอบครัวที่แท้จริง ซึ่งการวาง Concept มาเช่นนี้ผมว่ามาถูกทางครับ เพราะส่วนใหญ่แล้วที่อยู่อาศัยรูปแบบคอนโดฯ มักจะรองรับการอยู่อาศัยสำหรับคนโสด และครอบครัวจำนวน 2 – 4 คนเท่านั้น ซึ่งหากการที่เราจะอยู่อาศัยเป็นรูปแบบของครอบครัวใหญ่ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีทั้งเด็กและผู้สูงวัย ทางเลือกส่วนใหญ่ก็คือการอยู่บ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือทาวน์โฮม ดังนั้นการที่ MQDC ออกแบบโครงการเพื่อคนทุก Generation จึงเป็นอีกจุดเด่นที่ทำให้โครงการนี้น่าสนใจครับ

ส่วนกลางจัดเต็ม ออกแบบมาเพื่อทุก Generation

ส่วนกลางของโครงการที่ให้มาถือว่าจัดเต็มมากครับ ทั้งเรื่องของฟังก์ชัน การตกแต่ง รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่นำมาใช้ เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นของโครงการที่ถูกออกแบบมาเพื่อทุก Generation อย่างแท้จริงครับ

Mulberry Greeting Gallery : สำหรับพื้นที่ต้อนรับจะอยู่ที่ชั้น 1 ครับ การตกแต่งเป็นโถงสูงที่ดูโอ่อ่า เน้นความหรูหรา มุมนี้ยังใช้เป็นมุมพักผ่อนของลูกบ้านได้อีกด้วยครับ

Gourmet Courtyard : นอกจากนี้แล้วบริเวณชั้น 1 ก็ยังมีพื้นที่สีเขียวค่อนข้างหลายจุด ซึ่งจุดที่น่าสนใจก็คือพื้นที่สวนสำหรับปลูกผักสวนครัวที่ลูกบ้านสามารถมาปลูกผักไว้รับประทานเองได้ โดยที่ทางโครงการจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลสวนผักให้ครับ

INTERGENERATION KNOWLEDGE 

ลองมาดูที่ชั้น 2 กันบ้างครับ สำหรับชั้นนี้จะมีส่วนกลางด้วยกัน 3 ส่วนที่เป็นพื้นที่เพื่อการเรียนรู้ ซึ่งโซนเหล่านี้ลูกบ้านสามารถใช้งานได้กันทั้งครอบครัวเลยครับ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงวัย ซึ่งแต่ละโซนมีอะไรบ้างลองไปดูกันครับ…

The Mulberry’s Library : เริ่มจากห้องสมุดของโครงการก่อนเลยครับ คนที่ชอบความสงบ และชอบอ่านหนังสือ พื้นที่นี้ถืว่าตอบโจทย์มากๆ โดยที่ห้องสมุดของโครงการจะรวบรวมหนังสือประเภทต่างๆ ไว้ให้ลูกบ้านได้เลือกอ่านมากมาย

Children’s Room : นอกจากนี้แล้วก็ยังมีพื้นที่สำหรับเด็กๆ โดยที่ทางโครงการมีการออกแบบห้องนี้ให้มีสภาพแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการแก่เด็กๆ อีกด้วยครับ

Private Study Studio : และทางโครงการก็ยังมีพื้นที่สำหรับเรียนรู้แบบส่วนตัวไว้รองรับลูกบ้านอีกด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ทำการบ้าน หรือเรียนพิเศษ โดยที่ลูกบ้านสามารถถจองห้องเพื่อใช้งานแบบส่วนตัวได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเช่าพื้นที่ Co-Working Space จากข้างนอกอีกต่อไป

 

THE PINNACLE OF INTERGENERATION WELLNESS FOR THE WHOLE FAMILY

และส่วนกลางอีกจุดของโครงการก็คือพื้นที่ชั้น 32 ครับ ซึ่งแต่ละโซนส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ Relaxing activity เพื่อให้ครอบครัวได้ทำกิจกรรมและสร้างช่วงเวลาดีๆ ร่วมกันและยังสามารถพักผ่อนไปในตัวได้ด้วยนั่นเอง ลองไปดูครับว่ามีอะไรบ้าง…

The Intergen – Pool : อีกสิ่งที่น่าสนใจก็คือสระว่ายน้ำของโครงการที่มีมาให้มากถึง 4 สระ ซึ่งผมว่าเป็นไอเดียที่ดี เพราะบางครั้งสระว่ายน้ำที่ใหญ่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถรองรับได้ทุกความต้องการของลูกบ้าน โดยที่นี่มีการแบ่งสระว่ายน้ำออกตามความเหมาะสมของแต่ละช่วงวัยดังนี้ครับ

◼️ Infinity Sky Pool : เป็นสระขนาดใหญ่ที่สามารถเทควิวเมืองได้แบบ 180 องศา

◼️ Hydrotherapy Pool : เป็นสระว่ายนํ้าระบบนวดด้วยพลังนํ้า สระนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพักผ่อนเพราะระบบนวดด้วยพลังน้ำนี้ จะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายจากความเมื่อล้า แถมยังสามารถรับชมภาพยนตร์ในระหว่างผ่อนคลายได้อีกด้วยครับ

◼️ Thermal Pool : เป็นสระสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะครับ ซึ่งสระนี้ผมว่าค่อนข้างตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบครอบครัวได้เป็นอย่างดีเลยครับ เพราะโครงการส่วนใหญ่จะมีสระสำหรับผู้ใหญ่ก็จริง แต่นั่นก็ไม่ได้รองรับการใช้งานของผู้สูงอายุเท่าไร 

◼️ Children’s Pool : และสุดท้ายคือสระว่ายนํ้าสำหรับเด็ก ซึ่งเป็นสระที่สร้างขึ้นโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กๆ เป็นหลักนั่นเองครับ

Private Sky – High Onsen : อีกมุมที่น่าสนใจก็คือ On sen แบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่สามารถใช้เป็นมุม Relax ร่วมกันกับครอบครัว แถมยังเป็นจุดที่สามารถเทควิวเมืองสวยๆ ได้อีกด้วยครับ

Private Style Atelier : สำหรับพื้นที่นี้จะเป็นพื้นที่สำหรับสาวๆ เสียส่วนใหญ่ครับ โดยโครงการได้จัดทำเป็นพื้นที่สำหรับใช้เป็นห้องแต่งตัว แต่งหน้า หรือเสริมสวยสไตล์สาวๆ ได้เลยครับ

Private Spa : และอีกจุดที่ผมว่าน่าจะถูกใจใครหลายๆ คนก็คือห้องสปานั่นเองครับ ผมว่าโครงการนี้ให้พื้นที่สำหรับคนที่ชอบ Relaxing activity มาค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว

Sky – High Gym Studio : นอกจากนี้แล้วก็ยังมีในส่วนของพื้นที่ออกกำลังกายที่มีเครื่องเล่นรองรับจำนวนมาก บวกกับขณะที่เราออกกำลังกายนั้นก็ยังสามารถเทควิวเมืองแบบ Panorama View ได้อีกด้วยครับ

 

EXERCISE SUITE

และในส่วนของชั้น 33 นั้น ผมว่าน่าจะโดนใจคนที่ชอบออกกำลังกายที่ไม่หนัก รวมไปถึงการออกกำลังกายกลางแจ้ง ซึ่งชั้นนี้ยังมีพื้นที่ที่รองรับอีกหลาย Activity ของลูกบ้าน ลองไปดูกันครับว่ามีโซนไหนกันบ้าง…

Patio Gym : สำหรับพื้นที่นี้เป็นอีกจุดที่รองรับคนที่ชอบออกกำลังกายกลางแจ้งได้เป็นอย่างดี ซึ่งความสะดวกสบายก็คือเราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาฝ่ารถติดเพื่อไปยังสวนสาธารณะอีกแล้วครับ

Yoga Suite : นอกจากนี้แล้วทางโครงการก็ยังมีสตูดิโอสำหรับเล่นโยคะ และมีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มาสอนอีกด้วยครับ 

Ballet Suite : และอีกโซนที่น่าสนใจก็คือสตูดิโอบัลเล่ต์นั่นเองครับ กิจกรรมสุดฮิตของเด็กๆ ถ้าไม่ใช่ดนตรีก็คงหนีไม่พ้นการเต้นบัลเล่ต์ ซึ่งการที่โครงการมีสตูดิโอรองรับกิจกรรมนี้ผมว่ายิ่งชี้ให้เห็นถึงการออกแบบโครงการมาเพื่อกลุ่มครอบครัวจริงๆ ครับ

 

INTERGENERATION SOCIAL LIFESTYLE SUITE

มาต่อที่ชั้น 37 กันบ้างครับ สำหรับพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของกลุ่มครอบครัว เน้นการทำกิจกรรมสำหรับกลุ่มครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ครับ

GRAND PRIVATE LIVING & DINING ROOM : สำหรับพื้นที่นี้ลูกบ้านสามารถใช้เป็นพื้นที่สำหรับจัดงานสังสรรค์ได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ของ Living หรือ Dining

RESIDENCE LOUNGE : สำหรับมุมนี้เป็นอีกมุมพักผ่อนที่ทางโครงการตกแต่งมาได้หรูหรามากครับ มีที่นั่งรองรับค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว พร้อมกำรบริการ Afternoon Tea ฟรีทุกวัน

นี่เป็นเพียงส่วนใหญ่ที่ผมนำมาฝากเท่านั้นนะครับ เพราะส่วนกลางของที่นี่ให้เยอะ และจัดเต็มมากจริงๆ ค่อนข้างตอบโจทย์การใช้งานจริง และที่สำคัญคือแต่ละโซนนั้นสามารถรองรับกลุ่มครอบครัวได้จริงทุกช่วงวัยตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงวัย แต่ยังมีในส่วนของ Service ที่โครงการให้มาด้วยนะครับที่ผมมองว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน เราลองไปดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง…

ตอบโจทย์การอยู่อาศัยจริง ด้วย Service ที่ครบวงจร

อีกจุดเด่นที่น่าสนใจของโครงการนี้เลยก็คือ Service ที่ทางโครงการมอบให้แก่ลูกบ้านนั่นเองครับ ผมว่าปัจจุบันนี้ Strategy ที่หลายโครงการนำมาใช้เพื่อดึงดูดลูกค้าเลยก็คือเรื่องของ Service ที่ครบวงจร แต่ว่าการจะมอบ Service ให้แก่ลูกบ้านมากหรือน้อยนั้น ผมเองไม่ได้จุดนี้ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ สิ่งที่ลูกบ้านอย่างเราจะได้รับนั้นครอบคลุมทุกการใช้ชีวิตหรือไม่ เราลองไปดูกันบ้างครับว่าโครงการ “MULBERRY GROVE Sukhumvit” ให้อะไรแก่ลูกบ้านบ้าง…

◼️ 30 – Year Warranty : สำหรับตัวนี้จะเป็นการรับประกัน 30 ปี ที่ครอบคลุมองค์ประกอบหลัก 4 อย่าง ได้แก่ โครงสร้าง, หลังคา, ประตูหน้าต่าง และระบบท่อน้ำและสายไฟ

◼️ Energy Recovery Ventilation (ERV) : โครงการได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการเติมอากาศจากภายนอกอาคาร เพื่อแลกเปลี่ยนกับอากาศภายในห้องซึ่งมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง ทำให้อากาศภายในมีระดับของออกซิเจนที่เหมาะสม

◼️ Security AI : ในส่วนของความปลอดภัยก็เป็นอีกเรื่องที่ลูกบ้านให้ความสำคัญ และทางโครงการเองก็ไม่ได้มองข้ามไปเช่นกันครับ โดยโครงการจะมอบความปลอดภัยระบบ AI ให้แก่ลูกบ้าน ซึ่งทุกคนในครอบครัวจะได้รับการบริการการช่วยเหลือต่างๆ จากหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง MQDC และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำนั่นเองครับ

◼️ Autonomous Garage : ก่อนอื่นต้องบอกก่อนครับว่าที่จอดรถของโครงการนั้นคือ 100% โดยจะแบ่งเป็น Auto park และ Conventional สำหรับที่จอด Auto Park หรือระบบอัตโนมัตินั้นค่อนข้างน่าสนใจด้วยเทคโนโลยีตรวจจับด้วย Sensor License ซึ่งเป็นการจอดรถแบบใหม่ล่าสุดที่ง่ายและมีความสะดวกที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาในการวนหาที่จอดรถ ซึ่งระยะเวลาเฉลี่ยในการเรียกและเก็บรถนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 3 นาที และยังมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัยที่มากกว่าด้วยครับ

◼️ Mulberry Special Services : สำหรับ Service ตัวนี้ผมว่าน่าสนใจ เพราะเป็นบริการเสริมพิเศษที่ทางโครงการมอบให้แก่ลูกบ้าน ไม่ว่าจะเป็น Caregiver เจ้าหน้าดูแลเหตุฉุกเฉินที่จะ Standby อยู่ที่โครงการด้วยตลอด 24 ชม., Concierge เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก หรือจะเป็น Wellness Manager เจ้าหน้าที่ดูแลและวางแผนเรื่องสุขภาพ และบริการ Afternoon Tea ฟรีทุกวัน พร้อมกิจกรรมเพื่อคนหลากหลายวัย ที่โครงการจะมอบให้อย่างต่อเนื่องในอนาคต

◼️ Intergenerational Activities : นอกจากนี้แล้วทางโครงการก็ยังมีกิจกรรม Workshop ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คลาสการทำอาหาร, คลาสออกกำลังกาย และอีกหลายกิจกรรมที่ทางโครงการจะจัดขึ้นตลอดทั้งปีเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ทำกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวทุกๆ วัย

เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับ Service ที่ทางโครงการ “MULBERRY GROVE Sukhumvit” มอบให้แก่ลูกบ้าน คราวนี้เราลองไปดูรูปแบบห้องของโครงการนี้กันบ้างครับว่าเป็นอย่างไรบ้าง…

รูปแบบห้องตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริง ลงตัวทุก Family

สำหรับโครงการ “MULBERRY GROVE Sukhumvit” เป็นคอนโด High Rise สูง 37 ชั้น จำนวน 287 ยูนิต ซึ่งในส่วนของห้องพักอาศัยของทางโครงการนั้นจะเริ่มต้นที่ชั้น 7 – 30 ครับ ซึ่งห้องตัวอย่างภายในโครงการจะมีด้วยกันทั้งหมด 5 Type ดังนี้ครับ… 

◼️ 1 Bedroom ขนาด 47 – 56.5 ตร.ม.​
◼️ 2 Bedroom ขนาด 87 – 135 ตร.ม.​
◼️ 3 Bedroom 162 ตร.ม.​
◼️ Duplex Penthouse 216.5 ตร.ม.​
◼️ Penthouse 180 – 245.5 ตร.ม.

และห้องตัวอย่างนั้น ทางโครงการมีด้วยกัน 2 Type ก็คือ… 

◼️ 1 Bedroom ขนาด 56.50 ตร.ม.
◼️ 2 Bedroom ขนาด 114 ตร.ม.

เราลองมาดูบรรยากาศภายในห้องตัวอย่างกันบ้างครับว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง…

1 Bedroom ขนาด 56.50 ตร.ม.

Living Combine Dining เน้นพื้นที่ใช้สอยแบบจัดเต็ม มี Walk-in Closet ในตัว

เริ่มกันที่ห้องแรกอย่าง 1 Bedroom ขนาด 56.50 ตร.ม. กันก่อนเลยครับ แต่ก่อนอื่นต้องบอกว่าสิ่งที่น่าสนใจคือตู้เก็บของอเนกประสงค์บริเวณหน้าห้องที่ทางโครงการมีมาให้ทุก Type ซึ่งลูกบ้านสามารถใช้เก็บของใช้จุกจิกต่างๆ ที่ใช้นอกบ้านได้ครับ

สำหรับประตูห้องของทางโครงการทุก Type จะได้เป็นประตูแบบ Digital Door Lock และเมื่อเปิดประตูเข้ามาจะเจอกับพื้นที่ของห้องครัวด้านขวามือก่อนเลยครับ โดยฟังก์ชันครัวของของ Type นี้จะเป็นฟังก์ชันครัวปิด ซึ่งทางโครงการตกแต่งครัวมาเป็นรูปแบบ L – Shaped Kitchen อุปกรณ์ภายในครัวนั้นทางโครงการให้มาครบครับ อย่างเครื่องดูดควันและตู้เย็นทางโครงการก็มีมาให้เลย ส่วนมุม Laundry นั้นจะอยู่ในห้องครัว โดยโครงการจะ Built-in เป็นชั้นสำหรับใส่เครื่องซักผ้าไว้ให้ ช่วยประหยัดพื้นที่ใช้สอยภายในห้องได้ดีเลยครับ

ขยับเข้ามาด้านในอีกสักหน่อยจะเป็นพื้นที่ของ Living Area พื้นที่ด้านในค่อนข้างโปร่งและกว้างมาก Floor to Ceiling ของห้องนี้จะอยู่ที่ 2.70 เมตร แต่ในพื้นที่ของ Living Area นั้นจะสูงถึง 3 เมตร ซึ่งห้องตัวอย่างนั้นจะเห็นว่า Living Area เป็นฝ้าหลุม แต่ห้องจริงเราได้เป็นฝ้าฉาบเรียบนะครับ

ห้องนี้ไม่มีระเบียงนะครับ ซึ่งอีกมุมที่เห็นแล้วผมชอบก็คือ Multipurpose Space หรือฟังก์ชัน “Nook” ซึ่งมุมนี้ผมว่าทดแทนระเบียงได้เลยครับ เพราะสามารถใช้งานได้ไม่ต่างกันนัก ลูกบ้านเองสามารถทำเป็นมุมสำหรับทำงาน หรือจิบน้ำชาสำหรับผู้สูงอายุก็ได้ โดยด้านข้างจะเป็นกระจกทรงสูงที่สามารถเปิดรับแสงจากธรรมชาติและเทควิวด้านนอกได้เช่นกัน

คราวนี้เราลองเข้ามาดูที่ส่วนของห้องนอนกันบ้างครับ Floor to Ceiling ของห้องนอนก็จะอยู่ที่ 3 เมตร ถือว่าสูงโปร่งเลยทีเดียว ห้องนี้ผมว่าพื้นที่ใช้สอยด้านในถือว่ากว้างเลยทีเดียว และที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือมี Walk-in Closet ขนาดใหญ่ในตัวด้วย

สำหรับตัวห้องน้ำจะเชื่อมต่อกับ Walk-in Closet ซึ่งแปลนรูปแบบนี้ผมว่าค่อนข้างเอื้อความสะดวกให้ผู้อยู่อาศัยค่อนข้างมากทีเดียวครับ ห้องน้ำแยกโซนแห้งโซนเปียกเป็นสัดส่วน พื้นที่อาบน้ำค่อนข้างกว้างมาก มี Bathtub แบบส่วนตัว มี Rain Shower ส่วนตัวสุขภัณฑ์นั้นจะเป็นแบรนด์มาตรฐานระบบ Auto และตัวกระจกบริเวณซิงค์ล้างหน้าทางโครงการติดตั้งให้แบบนี้เลยครับ ด้านหลังกระจกนั้นสามารถใช้เก็บของใช้ได้ 

สำหรับรูปแบบห้องแบบ 1 Bedroom นั้น คนโสดอยู่ได้ รวมไปถึงสามารถอยู่เป็นครอบครัวได้สบายเลยครับ เพราะพื้นที่ใช้สอยที่โครงการให้มาค่อนข้างเยอะ ฟังก์ชันต่างๆ จัดเต็มและค่อนข้างตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริงด้วยครับ 

คราวนี้เราลองไปดูห้องตัวอย่างที่ 2 กันบ้างครับว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง…

2 Bedroom ขนาด 114 ตร.ม.

ฟังก์ชันจัดเต็ม รองรับการอยู่อาศัยของครอบครัวใหญ่

มาต่อกันที่ห้อง 2 Bedroom ขนาด 114 ตร.ม. กันครับ สำหรับประตูห้องนี้จะเป็น Digital Door Lock เช่นกัน แต่สิ่งที่พิเศษกว่าห้อง 1 Bedroom ก็คือบานประตูบานคู่ ให้ความกว้างมากกว่าเพื่อรองรับผู้สูงอายุที่ต้องนั่ง Wheelchair และมีตู้เก็บของอเนกประสงค์บริเวณหน้าห้องสำหรับเก็บของใช้จุกจิกต่างๆ ส่วนพื้นที่ของห้องครัวนั้นกว้างมากครับ เป็นฟังก์ชันครัวปิด ประตูบานเลื่อนแบบพับเก็บได้และตกแต่งแบบ L – Shaped Kitchen ตัวอุปกรณ์จะได้ตามรูปเลยครับ มีทั้งเครื่องดูดควันและตู้เย็นอีก 2 หลัง Built-in ให้เรียบร้อย ส่วนมุม Laundry จะไม่ได้อยู่ในห้องครัวเหมือนกับห้อง 1 Bedroom แต่จะย้ายมาอยู่บริเวณหน้าห้องครัวติดกับห้องน้ำด้านนอกครับ ซึ่งขนาดก็จะกว้างมากขึ้น วางเครื่องซักผ้าได้ 2 เครื่อง และมีพื้นที่สำหรับเก็บของใช้ได้อีกครับ สำหรับ Floor to Ceiling ส่วนนี้จะอยู่ที่ 2.70 เมตรครับ

สำหรับห้องนี้จะมีห้องน้ำดัวยกัน 3 ห้องครับ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นห้องน้ำด้านนอกที่สามารถใช้รองรับญาติหรือเพื่อนที่มาเยี่ยมเยือนได้โดยไม่ต้องเข้าไปใช้ห้องน้ำในห้องนอนซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัว

สำหรับพื้นที่ถัดมาต้องบอกก่อนครับว่าเป็นพื้นที่ที่กว้างมากจริงๆ ซึ่งจะเป็นการ Combine แบบ Triple Area โดยมี Living Area, Dining Area และ Multipurpose Space (Nook) ไว้ด้วยกัน โดยที่ Floor to Ceiling ของพื้นที่นี้จะอยู่ที่ 3 เมตร ยิ่งทำให้ห้องดูโปร่ง และบรรยากาศภายในไม่อึดอัดด้วยครับ

สำหรับมุม Living Area นั้นเราสามารถวางเซตโซฟาขนาด 4 ที่นั่งได้ แถมยังมี Space เหลือให้วางโต๊ะกลางได้สบายๆ เลยครับ ส่วนบริเวณทีวีนั้นจะมีชั้นวางของ และลูกบ้านสามารถ Built-in ชั้นสำหรับวางทีวีตามไอเดียของห้องตัวอย่างได้เลย

เห็นฟังก์ชันของ Dining Area แล้วแอบตกใจเหมือนกันครับ เพราะให้ความรู้สึก Feel Like Home มากเหมือนกัน พื้นที่กว้างเหมือนอยู่บ้าน อย่างโต๊ะรับประทานอาหารนั้นสามารถวางได้ตั้งแต่ 6 – 8 ที่นั่งเลยครับ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วพื้นที่ใช้สอยในส่วนนี้ของคอนโด เราจะเจอกับโต๊ะรับประทานอาหารสำหรับ 2 – 4 ที่นั่งเท่านั้น ซึ่งผมว่าส่วนนี้ค่อนข้างตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบครอบครัวมากครับ

สำหรับฟังก์ชัน Nook หรือ Multipurpose Space ของห้องนี้ค่อนข้างที่จะกว้างกว่าห้อง 1 Bedroom เยอะเลยครับ ดังนั้นพื้นที่ใช้สอยตรงนี้ลูกบ้านเองสามารถที่จะใช้เป็นมุมสำหรับพักผ่อนได้สบายๆ อยากจะวางโซฟาเบดที่สามารถปรับนอนก็ได้ หรือจะทำเป็นมุมชา กาแฟก็ได้เช่นกันครับ

มาต่อกันที่ห้อง Master Bedroom กันครับ สำหรับห้องนี้พื้นที่โปร่ง และกว้าง Floor to Ceiling ของห้องนอนทั้ง 2 ห้องจะอยู่ที่ 3 เมตร โดยด้านข้างจะเป็นกระจกทรงสูงที่เปิดรับแสงจากธรรมชาติเข้ามาเต็มๆ ช่วงเวลากลางวันก็จะช่วยประหยัดไฟได้ โดยทางโครงการเว้นฝ้าด้านบนสำหรับให้ลูกบ้านไว้กรณีที่ติดตั้งม่าน ห้องนี้แถมแอร์ด้วยครับ ส่วนเตียงนั้นก็วางขนาด 5 – 6 ฟุตได้ มี Space ด้านข้างเหลือสำหรับวางโต๊ะกับเก้าอี้พักผ่อนได้

ห้องนี้มี Walk-in Closet ขนาดใหญ่ด้วยครับ ซึ่งตู้ที่เห็นในรูปก็คือทางโครงการ Built-in ให้แบบนี้เลย แต่ส่วนของกระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้งนั้นไม่ได้ให้มาด้วย และยังมีระบบเซ็นเซอร์สำหรับเปิดไฟตอนกลางคืนให้มาด้วยครับ

โดยตัวของ Walk-in Closet นั้นจะเชื่อมต่อกับห้องน้ำ ค่อนข้างสะดวกในการใช้งานในชีวิตประจำวัน ซึ่งห้องน้ำจะได้แบบนี้เลยครับ มีอ่างล้างหน้าให้ 2 ชุด ตัวก๊อกน้ำจะเป็นแบบร้อน/เย็น พื้นที่ภายในจะแยกโซนเป็นสัดส่วนทั้งแห้งและเปียก โซนอาบน้ำนั้นมี Rain Shower พร้อมที่นั่งสำหรับผู้สูงอายุด้วยครับ ส่วนตัวสุขภัณฑ์ของอีกโซนนั้นก็เป็นแบรนด์มาตรฐานระบบ Auto แต่สำหรับชั้นวางของด้านหลังสุขภัณฑ์นั้นทางโครงการไม่ได้ให้มาพร้อม แต่ลูกบ้านเองก็สามารถตกแต่งตามไอเดียของห้องตัวอย่างได้ครับ

คราวนี้เราลองเข้าไปดูที่ห้องนอนที่ 2 กันบ้างครับว่าเป็นอย่างไรบ้าง…

พื้นที่ใช้สอยของห้องนอนนี้ก็ยังคงจัดเต็มให้ไม่ต่างจากห้องแรกเลยครับ ตัวเตียงนั้นสามารถวางเตียง 5 – 6 ฟุตได้สบายๆ เลยครับ โดยที่ Space ด้านข้างเตียงยังเหลือให้สามารถวางโต๊ะหรือเก้าอี้พักผ่อนได้อีก

นอกจากนี้แล้วห้องนี้ก็ยังมี Walk-in Closet ขนาดใหญ่รองรับอีกด้วยครับ ตัวตู้นั้นทางโครงการ Built-in ให้เหมือนกับห้องอื่นเลยครับ และในส่วนของห้องน้ำนั้นจะอยู่ติดกับส่วนของ Walk-in Closet ภายในนั้นการแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน แยกโซนแห้งและเปียกออกจากกัน และมี Bathtub แบบส่วนตัวรองรับ ส่วนตัวสุขภัณฑ์นั้นก็เป็นแบรนด์มาตรฐานและเป็นระบบ Auto ด้วยครับ

สำหรับรูปแบบห้อง 2 Bedroom นั้นผมว่าค่อนข้างที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตรูปแบบครอบครัวตั้งแต่พ่อ แม่ ลูก รวมถึงผู้สูงอายุได้เลยครับ เพราะพื้นที่ใช้สอยนั้นค่อนข้างเยอะ ฟังก์ชันต่างๆ ที่โครงการให้มาเองก็รองรับการใช้งานในชีวิตจริงและรองรับกลุ่มคนทุกช่วงวัยด้วยครับ คราวนี้เราลองไปดูกันดีกว่าครับว่าโครงการนี้จะเหมาะกับใครบ้าง…

โครงการนี้เหมาะกับใคร?

สุขุมวิท เป็นย่านที่หลายคนรู้กันว่าที่นี่คือศูนย์กลางธุรกิจที่สำคัญของกรุงเทพฯ ที่นักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติต่างก็ให้ความสนใจ เพราะศักยภาพของทำเลที่ค่อนข้างเป็นจุดเด่น โดยเฉพาะโครงข่ายคมนาคมที่เชื่อมต่อถึงกันทั้งรถไฟฟ้าและทางด่วน อีกทั้งยังรายล้อมไปด้วย Community Mall อีกมากมาย สำหรับโครงการ “MULBERRY GROVE Sukhumvit” นั้น ตั้งแต่เปิดตัวมาเมื่อปีที่แล้วถือว่าได้รับกระแสตอบรับที่ดี ด้วยสเปกที่หรู ฟังก์ชันที่จัดเต็ม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนจะให้ความสนใจ โดยเฉพาะการเลือกเจาะทำเลใจกลางศูนย์กลางธุรกิจอย่างสุขุมวิท ซึ่งราคาเฉลี่ยของโครงการที่ผมสืบมานั้นจะอยู่ที่ 250,000 บาท/ตร.ม. แน่นอนว่าโครงการนี้ตอบโจทย์ผู้ซื้อระดับนักธุรกิจอย่างแน่นอนครับ ซึ่งหากมองในแง่ของการลงทุนเอง โครงการนี้ก็คือว่าเหมาะเช่นกันครับ ซึ่งกลุ่มผู้เช่าส่วนใหญ่จะตกไปอยู่ที่กลุ่มของชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาวจีน หรือญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกันนั้น การซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองก็ตอบโจทย์ไม่ต่างกัน เพราะฟังก์ชันต่างๆ ของทางโครงการรวมถึงการออกแบบนั้น ค่อนข้างลงตัวกับการอยู่อาศัยจริง และยังเหมาะกับคนทุกช่วงวัยที่อยู่กันแบบครอบครัวอีกด้วยครับ

…ดังนั้น ผมขอสรุปมุมมองนักสืบอสังหา อีกครั้งดังนี้ครับ

ความเห็นในมุมนักสืบอสังหา

1. ทำเล : สำหรับที่ตั้งของโครงการนั้นถือว่าเป็นทำเลที่น่าสนใจ เพราะอยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีเอกมัยเพียง 250 เมตรเท่านั้น เป็นระยะที่เดินไม่เหนื่อย นอกจากนี้แล้วรอบตัวโครงการเองก็ยังรายล้อมไปด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ รวมไปถึงสถานศึกษาและสถานพยาบาลชั้นนำอีกด้วยครับ

2. ราคา : ราคาเฉลี่ยของโครงการนี้จะอยู่ที่ประมาณ 250,000/ตร.ม. ด้วยตัวโครงการเป็น Super – Luxury แน่นอนว่าสิ่งที่เราจะได้ตามมาคือเรื่องของสเปกที่ดี บวกกับทำเลนี้ที่ค่อนข้างมีศักยภาพเพราะตั้งอยู่ในย่านที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจอย่างสุขุมวิท อีกทั้งยังได้ห้องแบบ Fully Fitted เมื่อเทียบกับราคาของโครงการแล้ว ผมว่าคุ้มครับ

3. ส่วนกลาง : ส่วนกลางผมว่าทางโครงการให้เยอะ ประมาณ 1.9 ไร่ มีครบทุก Activity และสิ่งที่ถือว่าเป็นจุดเด่นก็คือการออกแบบทุกฟังก์ชันนั้น รองรับการใช้งานในทุกๆ Generation ที่จอดรถ 100% เป็น Auto Park กับ Conventional ซึ่งถือว่าโครงการนี้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริงมากครับ

4. รูปแบบห้องและสเปก : สเปกที่ได้นั้นดีและคุ้มค่ามากครับ ไม่ว่าจะเป็นชุดเครื่องใช้ไฟฟ้ามาตรฐาน Germany อย่างเครื่องดูดควันกำลังสูงสำหรับแม่บ้านที่ชอบทำอาหารไทย และยังมีเตาอบ, ไมโครเวฟ และทางโครงการยัง Built-in ตู้เย็นให้ทุกห้อง นอกจากนี้แล้วก็ยังมีระบบ Digital Door Lock ที่ให้ความปลอดภัยสูง ลิ้นล็อกถึง 3 จุด หรือจะเป็น Laminated IGU Glass ซึ่งเป็นกระจกป้องกันความร้อนและเสียงนั่นเองครับ ซึ่งนี่ยังเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะครับ เพราะทางโครงการเค้าให้มาเยอะและจัดเต็มจริงๆ ถือว่าคุ้มเกินราคาเลยครับ

5. การลงทุน : อย่างที่ผมได้บอกไปก่อนหน้านี้ครับว่าโครงการนี้เหมาะทั้งการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและการลงทุน ด้วยศักยภาพด้านทำเลบวกกับสเปกที่ดีของโครงการ ทำให้การปล่อยเช่าสามารถทำได้เพราะกลุ่ม Real Demand ยังมีอยู่เยอะ ในขณะเดียวกันนั้นฟังก์ชันต่างๆ ที่ทางโครงการให้มาก็ยังตอบโจทย์กลุ่มครอบครัวที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองอีกด้วยครับ

หากใครสนใจโครงการสามารถลงทะเบียน ได้ที่ >> http://bit.ly/2NVmSQS

 

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *